รวมบทกลอนจากทุกโอกาส - รวมบทกลอนจากทุกโอกาส นิยาย รวมบทกลอนจากทุกโอกาส : Dek-D.com - Writer

    รวมบทกลอนจากทุกโอกาส

    รวมหลากหลายบทกลอน หลากหลายอารมณ์ แต่งเองทุกบท

    ผู้เข้าชมรวม

    17,303

    ผู้เข้าชมเดือนนี้

    135

    ผู้เข้าชมรวม


    17.3K

    ความคิดเห็น


    41

    คนติดตาม


    53
    หมวด :  กลอน
    เรื่องสั้น
    อัปเดตล่าสุด :  10 ธ.ค. 54 / 20:41 น.


    ข้อมูลเบื้องต้น

    ดีค่า

    มาอัพอีกรอบแล้ว

    เอาป้องกันก็อปปี้ออกแล้ว

    เอาไปใช้ได้  แต่ถ้าจะเอาไปเผยแพร่

    อย่าลืมให้เครดิตมิ้นท์นะคะ






    โดย  Zhao  Yun - หมอกขาว







    Ғя    тн.
    ตั้งค่าการอ่าน

    ค่าเริ่มต้น

    • เลื่อนอัตโนมัติ

      มาต่อแล้วจ้าหลังจากที่ห่างหายไปนาน  หุหุ  
      แต่ต่อไปจะไม่ค่อยเกี่ยวกับธรรมชาติเท่าไหร่แล้วนะ

      ปล.  กลอนรักอยู่ด้านล่างค่ะ



      "  อันชีวีมีเกิดล้วนมีดับ
      สอดสลับทุกข์โศกทั้งสุขศรี
      ดั่งกลางวันพ้นทิวามีราตรี
      ทั้งนารีล้วนบุรุษสุดเหมือนกัน
      ยามมีมั่งเงินทองกองไม่ขาด
      ยุรยาตรถิ่นใดดั่งใจฝัน
      แต่ยามยากเงินทองเหือดหายครัน
      ชีพผกผันถูกเขาเมินไม่มองมา  "



      (1)  สายเอ๋ยสายลม
      เจ้าแผ่วพรมกายข้าคราเหน็บหนาว
      ทั้งยามนี้ย่ำค่ำดาราพราว
      นัยน์ตาวาวเอ่อล้นชลธี
      ดวงใจข้ายามนี้ช่างประหลาด
      ดังว่าขาดสิ่งใดในตรงนี้
      ความผิดข้าหรือไม่เล่าคนดี
      นั่งตรงนี้แทบค่อนคืนสะอื้นเอย


      (2)  แจ่มเอ๋ยแจ่มจันทร์
      งดงามดังคงอยู่ในห้วงฝัน
      กิ่งไม้ไหวเหมือนใจข้าครามครัน
      อาจหักพลันแหลกสลายในเร็วไว
      มิมีใครรับรู้ที่เจ็บปวด
      ยังร้าวรวดคงเดิมอยู่ไฉน
      ยามต้องจากคนรักมาลาไกล
      โดยหักใจจากมามิลาเอย



      คราวนี้ขอนอกเรื่องไปสมัยสามก๊กนิดนึง
      แบบว่า  อยู่ดีๆมันก็อยากแต่งง่ะ


      เปลวเอ๋ยเปลวไฟ
      ลุกลามไปทั่วทิศประสิทธิ์ศรี
      โชติช่วงงามจรัสแสงแรงราตรี
      สีชาดคลี่ทาบทาให้อาดูร
      เสียงครวญครางระงมก้องท้องน้ำ
      สะท้อนลำเพลิงผลาญชีวีสูญ
      ทั้งริเริ่มกลืนกินทวีคูณ
      ให้เพิ่มพูนชื่อจิวยี่รี่ก้องเอย



      ควบเอ๋ยควบไป
      ไม่หวังชัยชนะใดในใต้หล้า
      เมื่อสิ่งนั้นย่อมสูญไร้ราคา
      ไปเถิดอาชาข้ารี่เร็วไว
      ทั้งนายน้อยสาบสูญในกองศึก
      ควรให้นึกถึงนายหญิงยิ่งหายไผล
      ตัวข้านี้จะอยู่เฉยได้อย่างไร
      จะหาไปแม้ชีวีต้องพลีเอย


      2ฉากที่ไรเตอร์เลือกแต่ง
      กลอนดอกสร้อยในแบบของตัวเองนี้
      มีใครรู้บ้างเอ่ยว่าเป็นฉากไหน
      ตอบกันมาเยอะๆนะคะ
      (หวังว่าคงมีคนอ่าน3ก๊กหลงเข้ามานะ)


                
                              สายเอ๋ยสายลม                  เสียงแหลมคมกังวานสะท้านไหว
                     พัดพริ้งสิ่งเบาปัดเป่าไป                   ด้วยใช้กำลังแรงฤทธา
                     ถ้าหากหนักแน่นดั่งแผ่นหิน              ก็ไม่สิ้นกำลังอย่ากังขา
                     อย่าอ่อนไหวแผ่วเบาราวขนกา        ชั่วชีวาปลิวตามลมระทมเอย


                            ก้อนเอ๋ยก้อนเมฆ                      ดังเช่นเฉกขนนกวิหคเหิน
                    สีขาวนวลจับตาพามองเพลิน           บังแสงเงินยามบ่ายสบายใจ
                    เมื่อแลเจ้าลอยเอื่อยตามกระแส       ไม่เที่ยงแท้ดั่งชะตาคราสงสัย
                    แลเป็นดั่งสัญลักษณ์แห่งหลักชัย      พิสุทธิ์ใสดังมณีมีค่าเอย


                            ดวงเอ๋ยดวงดาว                       ทอแสงสกาวแพรวพราวเต็มฟ้า
                    ยามเจ้าอยู่เคียงคู่ดวงจันทรา           ดูด้อยค่าริบหรี่เห็นรำไร
                    หากจะมีวันใดได้เปล่งแสง               ต้องรอแรงจันทราอ่อนราไหว
                    แลจะเป็นเช่นนี้อยู่เรื่อยไป                หมดทางไร้หลีกลี้หนีหน้าเอย


                            ภูเอ๋ยภูเขา                                ทั้งลำเนาไพรสณฑ์น่าค้นหา
                    มองไกลเห็นสีเขียวสุดสายตา          ปลายขอบฟ้าดังเป็นหนึ่งเดียวกัน
                    สายลมเย็นพัดผ่านเส้นเกศา             ไม่อาจพาภูไหวดังใจฝัน
                    แต่จะไม่อาจคงอยู่คู่นิรันดร์            หากกาลผันภูเหลือเพียงฝุ่นดินเอย


                            ธาเอ๋ยธารา                         เห็นตัวปลาแหวกว่ายน่าหลงไหล
                    ตัวเจ้าแยกออกจากคงคาใหญ่          สัตว์ป่าใช้เจ้าดำรงคงชีวิต
                    โบราณว่าธารเลี้ยวลดไม่คดเท่า       จิตใจเขาเราท่านไม่มีผิด
                    สุดจะหยั่งปัญญาหลากความคิด       ตรองสักนิดคิดไว้ใจคนเอย


                           ดวงเอ๋ยดวงตะวัน                     ยามเช้าพลันเคลื่อนพ้นอรุณศรี
                   ซัดสาดแสงร้อนแรงด้วยฤทธี             ด้วยสิ่งนี้ปลุกสัตวาออกหากิน
                   อาจมีบ้างที่หลบอยู่ในหมู่เมฆ            ไม่อเนกตลอดไปนิรันดร์สิ้น
                   ตะวันยังทำหน้าที่ตามอาจิณ             จนแสงรินลับลาขอบฟ้าเอย  
          

                            น้ำเอ๋ยน้ำฝน                            ที่หลั่งล้นจากฟ้าเมฆาใส
                  หยาดลงมาชุ่มชื้นแผ่นดินไทย          บันดาลให้ชาวนาปลื้มเปรมปรีดิ์
                  เจ้าประสานให้ธารพานบังเกิด           เจ้าชูเชิดพฤษาชาติคีรีศรี
                  อยากขอให้มวลมนุษย์มุ่งทำดี          เปรียบดังที่ฝนทำย้ำใจเอย


                            ดอกเอ๋ยดอกหญ้า                    แม้แลดูด้อยค่าน่าติฉิน
                  ไม่มีใครหมายตามายลยิน                 อยู่ในถิ่นของเจ้าช่างเหงากาย
                   ยามต้องลมกิ่งพัดสะบัดไหว             เกสรไปปลิวอยู่ทุกที่หมาย
                  อาศัยลมนำพาข้าสบาย                     เกิดเชื้อสายต้นใหม่สุขใจเอย


                           กลางเอ๋ยกลางคืน                ไม่อาจฝืนความเป็นไปในโลกหล้า
                  ฟ้าสีนิลกว้างสุดหยุดสายตา            มีดาราพร่างพรายตาอยู่บนนั้น
                  เสียงจังหรีดเรไรกรีดร้องเสียง         ด้วยสำเนียงอ่อนไหวระไวฝัน
                  ดั่งขับร้องก้องกู่สู้แสงจันทร์       รอตะวันพลันบรรจบพิภพเอย             
                          

                          ก้อนเอ๋ยก้อนหิน                     อยู่ในถิ่นทั่วสถานนานไปถึง
                 ทั้งทะเลในคลองหรือหนองบึง        สุดคำนึงหนักแน่นแผ่นนภา
                 ธรรมดาก้อนหินทั้งสิ้นหน                ล้วนไม่พ้นเป็นกรวดดินทั้งสิ้นหนา
                 แม้สิ่งใหญ่ไม่อาจหยุดฉุดเวลา       ดั่งศิลาเล็กลงตามลมเอย      
                         

                          กลางเอ๋ยกลางวัน                   ตามกาลผันแสงสุรีย์ที่พ้นผ่าน
                เป็นยามเมื่อท้องนภาทาสีธาร          สัตว์โลกสานกิจวัตรที่หยุดไป
                เมื่อฟ้าฉาบสีครามงามวิจิตร            วิหคผินกลับถิ่นหากินไซร้
                ยามกลางวันมักหมดเลี้ยวลดไว       แลต้องให้ดวงจันทร์นั้นแทนเอย


                          สายเอ๋ยสายรุ้ง                     มีสีพุ่งหลายสายคล้ายคล้ายฝัน
               แต่ไม่อาจได้เชยชมชั่วนิรันดร์          เมื่อสีนั้นเป็นเพียงสิ่งลวงตา
               เจ็ดสีสวยผ่านพาดหลังฝนตก         แสงสีพกหักเหคะเนหา
              แม้เช่นนั้นก็ได้ชมแต่เพียงตา             อยู่บนฟ้าเป็นเพียงสีเพียงนี้เอย


                ทะเอ๋ยทะเล                    มีคลื่นเซซัดสาดสู่หาดสวย
           นำพากลิ่นดินเค็มเล็มระรวย                    หมู่เกาะด้วยกลางชลน่าสนใจ
           นั่งดูเด็กตัวเล็กเล็กกำลังเล่น                    เราจะเป็นผู้ก่อปราสาทใส
           เอาไว้เป็นอนุสรณ์ยามท่องไป                    ทุกที่ในสากลสุขล้นเอย



                 ลมเอ๋ยลมหนาว               เมื่อถึงคราวเหมันต์วสันต์พ้น
      พัดผ่านให้เหน็บหนาวทุกคราวคน          ใจกังวลถึงผู้ที่อยู่ไกล
      เห็นพ่อเฒ่าแม่เฒ่านั้งไฟผิง          ลูกหลานอิงแอบแนบตัวสั่นไหว
      แม้นหนาวกายแต่อบอุ่นคุ้นเคยใจ          เมื่อไม่ไร้ไอรักเป็นหลักเอย



                ใบเอ๋ยใบไม้          ร่วงหล่นไปกองอยู่ใต้พฤกษา
      เจ้าแปรเปลี่ยนตามกาลวันเวลา       เติบโตมาแตกใบอ่อนซ่อนแมลง
      เมื่อเจริญเต็มกำลังทำหน้าที่         ตัวข้าคลี่ใบดอกออกรับแสง
      จนกว่าจะหมดงานอ่อนราแรง          ที่เปลี่ยนแปลงพาชีวาลับลาเอย



                น้ำเอ๋ยน้ำค้าง          ที่พราวพร่างชุ่มชื้นบนผืนหญ้า
      ทั้งม่านหมอกปกคลุมสุดสายตา          ปลายขอบฟ้าดังเป็นหนึ่งเดียวกัน
      ยามแสงสูรย์ซัดสาดทั่วภาคพื้น          ก็ไม่ฝืนพลันสลายให้น่าขำ
      ว่าพวกเจ้าหวาดกลัวแสงเงินคำ          เห็นซ้ำๆเป็นอาจิณทั่วถิ่นเอย



      ถัดจากกลอนดอกสร้อย  ก็จะเป็นกลอนสุภาพและกาพย์ยานี11ค่ะ



      อันความคิดของคน     นั้นจำจนด้วยปัญญา
      เร่งรัดตัดสินมา     จากปรีชาตนว่าดี
      ถูกผิดไม่คิดรู้     แต่ตัวกูทำอย่างนี้
      ดีชั่วไม่เคยมี     ทำกาลีไม่เกรงกลัว


      นางในวรรณคดี
      กลีบบางใบบัวงาม     เปรียบดังนามองค์นารี
      เลื่องลือว่าโสภี     ทั้งยังมีใจโสภา
      เอวองค์อรชร     ดวงสมรเสน่หา
      ขวัญแก้วนครา     ขัติยาแต่เชื้อวงศ์



      ตัวละครในนิยายมิ้นท์เองค่ะ
      ให้คาแรกเตอร์มาฝากแต่งได้นะ
      เพ็ญพักตร์งามเพริศแพร้ว     เนตรดวงแก้วนิลกาฬ
      กลิ่นอายเยาวมาลย์     นั้นบันดาลความมืดมน
      แต่กลับพิสุทธิ์ใส     ให้แปลกใจทุกตัวคน
      สูงส่ง ณ กมล     ไม่อาจยลด้วยกลใด



      งานศิลป์แผ่นดิน
      กว้างใหญ่ทั้งไพศาล     อีกตระการด้วยทองทา
      มณีอันมีค่า     สักฝังมาทาถมเงิน
      ม่านไหมก็ทองงาม     มีสีครามปักดิ้นเดิน
      นวลน้องนำดำเนิน     แสนเพลิดเพลินเป็นบุญตา



      "ลอยกระทง"

      บทกลอนนี้มิ้นท์เคยแต่งสด
      เพื่อแข่งขันภายในเวลาครึ่งชั่วโมง
      ที่โรงเรียนนารีนุกูล  อุบลราชธานี
      ได้รางวัลชนะเลิศค่ะ

      "แสงจันทร์เพ็ญงามเด่นกระจ่างฟ้า
      หมู่ดาราล้อมเลื่อนเดือนสิบสอง
      กระแสชลไหลหลั่งเต็มฝั่งคลอง
      เราพี่น้องชาวไทยร่วมไปงาน
      ลอยกระทงที่บรรจงแต่งประดิษฐ์
      ด้วยแรงจิตน้อมนำอธิษฐาน
      ประเพณีเก่าแก่แต่โบราณ
      ขอให้ธารพัดพาภัยพ้นไทยเทอญ"



      ความแค้นจุกแน่นอก     อ้ายคางคกทำแสบศรี
      อำพรางแกล้งพาที     ให้ข้ามีอาญาทัณฑ์
      ทำชั่วมั่วอุบาทว์     อ้ายเลวชาติกลับสุขสันต์
      ถ้วนทั่วเส้นสายมัน     รู้รู้กันในสันดาน



      สารทวสันต์ผันผ่านอำลาลับ
      ถึงคราวปรับเปลี่ยนให้เหมันต์หวน
      กระแสลมโบยโบกคล้ายคร่ำครวญ
      ใจทบทวนวันเวลาที่ล่วงไป
      มวลใบไม้เก่าแก่ต่างร่วงหล่น
      เกลื่อนถนนดาษดื่นอีกอื่นใกล้
      เหมือนชีวิตหดสั้นแปรผันไว
      พาให้ใจสงบพบสัจธรรม



      จะเป็นจอมจักรพรรดิที่ยิ่งใหญ่
      ไม่ว่าใครเกรงกริ่งยิ่งราศรี
      จะรักษาคุณธรรมมั่นความดี
      ทั้งจะมีเมตตาประชาคม
      จะอุ้มชูอุปถัมภ์พระศาสนา
      อันสูงค่าศิลป์ศาสตร์ราษฎร์สุขสม
      จะป้องกันเขตแดนทั้งแคว้นกรม
      อย่าหวังก้มหัวให้ใครรุกราน



      รวมกลอนรักค่ะ
      บางอันโบราณหน่อยๆนะคะ



      ไม่อยากจดจำคืนวันเก่าๆ
      ช่างแสนเศร้าพาใจให้หม่นหมอง
      จำต้องกลั้นน้ำตาอย่าไหลนอง
      ให้เขามองว่าเรายังมีใจ
      เขาจะไปไหนกับใครก็ช่างเขา
      เรื่องของเราก็มากมายอย่าสงสัย
      คนใจร้ายเมินเถอะปล่อยเขาไป
      ยังมีใครคอยอยู่คู่แท้เรา



      เกลียดหนักหนาทั้งอุราสะท้านไหว
      ยังหัวใจเต้นกระหน่ำย้ำเสมอ
      เธอทำร้ายฉันให้เจ็บแสบแล้วเธอ
      จะมาเจอเย้ยหยันฉันทำไม
      ไม่เคยรักแต่มาคบแค่แก้เหงา
      เลิกกับเขาเจ็บช้ำทำเฉไฉ
      เธอคบกันแก้เขินไม่เป็นไร
      แต่แอบมีใครใหม่ฉันไม่ยอม



      จะจากไปจิตใจไม่คืนหวน
      ควรไม่ควรหรือไรไม่ใคร่สน
      ถึงวันนี้สุดจะหมดจะอดทน
      ต้องจำจนจากไปอีกไม่นาน
      แสนอึดอัดอดกลั้นพลันสะอึก
      ความรู้สึกจุกอกไม่สงสาร
      ที่ทนอยู่ก็สุดจะทรมาน
      ไม่อาจต้านจิตใจให้ไปเลย



      จะตัดพ้อต่อว่าไปตามสื่อ
      จะว่าชื่อเสื่อมเสียมิสงสาร
      จะไม่สนใครเจ็บจมดวงมาลย์
      จะแหลกราญรอนไปไม่ยินดี
      จะกรีดบาดจมน้ำตาไม่รับรู้
      จะทนอยู่ต่อได้ไม่ใคร่หนี
      จะต้องยอมก้มรับชะตาวี
      ก็สุดที่จะแสร้งทำต้องจำไป







      ล่าสุดค่ะ  ใช้ประกอบนิยายของตัวเอง

      สงเอ๋ยสงคราม              ที่ลุกลามทั่วหล้าพาใจหาย
      จะมีเพียงชีวีพลีมลาย        ทั้งหญิงชายหนุ่มสาวเฒ่าชรา




      แหะๆ  มีแต่เศร้าๆ  ไว้คราวหน้าจะเอาแบบน่ารักๆ  สมหวัง
      มาลงเพิ่มละกันนะคะ
      ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่านบทความนี้  ขอบคุณมากๆค่ะ


      และสุดท้าย  "ทุกคอมเม้นต์คือกำลังใจอันมหาศาล"

      THANK  YOU  AGAIN




       

       

       

       

       

       

       

      ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

      loading
      กำลังโหลด...

      ความคิดเห็น

      ×